วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฮาตาเกะ คาคาชิ บทที่๑



คาคาชินับเป็นหนึ่งในตัวละครที่เป็นที่นิยมที่สุดในเรื่อง ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ด้วยบุคลิกแบบคนเอื่อยเฉื่อย สวมผ้าปิดตาข้างหนึ่ง รักสันโดษ กับน้ำเสียงสบายๆ ทำให้คาคาชิเป็นหนึ่งในตัวละครที่สร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กับเรื่องได้เป็นอย่างดี แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อถึงเวลาที่ต้องจริงจัง เขาก็สามารถเปลี่ยนตัวเองได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนละเอียดรอบคอบและมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำได้โดยไม่ผิดพลาด

คาคาชิเป็นลูกชายของ ฮาตาเกะ ซาคุโมะ หรือที่รู้จักกันในฉายา เขี้ยวสีขาวแห่งโคโนะฮะ ซึ่งมีผมสีขาวเหมือนเขา และก็เป็นเจ้าของดาบสั้นซึ่งจะสามารถปล่อยจักระสีขาวออกมาได้เมื่อถูกใช้โดยคนในบ้านฮาตาเกะ และภายหลังการตายของพ่อของเขา คาคาชิก็ได้เป็นเจ้าของดาบสั้นเล่มนี้ต่อ ซาคุมะพ่อของเขานั้นได้รับการยกย่องให้มีชื่อเสียงทัดเทียมกับสามนินจาแห่งโคโนะฮะ แต่ทัศนคติส่วนตัวของเขากลับทำให้ชื่อเสียงนี้ถูกทำลายลง เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ซาคุโมะยอมละทิ้งภารกิจเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมทีมจนทำให้หมู่บ้านได้รับความเสียหาย ด้วยความอับอายและผิดหวังจากปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมทีม ทำให้ซาคุโมะฆ่าตัวตาย ซึ่งส่งผลให้คาคาชิเติบโตมาอย่างเย็นชา และเห็นความสำคัญของภารกิจและยึดถือกฎระเบียบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเป็นอันดับแรก

ในวัยเด็ก คาคาชิประสบความสำเร็จในการทำภารกิจมากมาย ทั้งยังได้เป็นศิษย์ของเป็นโฮคาเงะรุ่นที่สี่ และยังได้รับโอกาสในการคุมทีมของเขาในตำแหน่งหัวหน้าทีมด้วย ชื่อเสียงของคาคาชิก็ยิ่งเป็นที่กล่าวขานมากขึ้นไปอีกเนื่องมาจากภารกิจแรกที่เขาได้รับมอบหมายหลังจากได้เลื่อนขั้นเป็นโจนินตอนอายุสิบสาม ในช่วงสงครามนินจาครั้งที่สาม คาคาชิและทีมได้รับมอบหมายให้ไปถล่มสะพานเพื่อตัดเส้นทางการลำเลียงของนินจาอิวะที่จะเข้ามายังหมู่บ้าน และในการเผชิญหน้ากับนินจาอิวะเหล่านั้น ทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่กับชีวิตคาคาชิอีกครั้งหลังจากการสูญเสียพ่อไป ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เองทำให้ชีวิตของคาคาชิมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต รินซึ่งเป็นนินจาแพทย์เพียงหนึ่งเดียวในทีมได้ถูกลักพาตัวไปเพื่อรีดความลับ คาคาชิจังตัดสินใจที่จะทิ้งเธอเอาไว้และมุ่งหน้าไปทำภารกิจต่อ เลยทำให้โอบิโตะ เพื่อนร่วมทีมอีกคนไม่พอใจมากและปฏิเสธที่จะร่วมมือ

เด็กชายทั้งสองโต้เถียงกัน คาคาชิกล่าวกับโอบิโตะว่าผู้ที่ไม่ให้ความสำคัญกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะถูกเรียกว่าเป็นสวะ แต่โอบิโตะกลับสวนกลับมาว่า คนที่ไม่ให้ความสำคัญกับพวกพ้องนั้นเลวยิ่งกว่าสวะเสียอีก พร้อมกับกล่าวด้วยว่าตัวเขาเองชื่นชมการกระทำของฮาตาเกะ ซาคุโมะ และตัดสินใจที่จะไปช่วยรินตามลำพัง แต่แล้วคาคาชิก็ตัดสินใจตามเพื่อนไปทีหลัง จนกระทั่งพลาดพลั้งถูกทำร้ายจนเสียตาซ้ายไป และด้วยความตกตะลึงผสมโกรธแค้น ทำให้โอบิโตะที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนสามารถเบิกเนตรวงแหวนได้สำเร็จ จนกระทั่งฆ่านินจาศัตรูคนที่ทำร้ายเพื่อนได้

จากนั้นทั้งสองคนตามไปจนพบรินในสภาพโดนคาถาลวงตา นั่งนิ่งไม่รู้สึกตัว จึงเข้าไปช่วยคลายคาถาลวงตาให้จนรินได้สติ ในการต่อสู้กับนินจาอิวะ คาคาชิและโอบิโตะร่วมกันต่อสู้ ด้วยความสามารถในการมองจากเนตรวงแหวนของโอบิโตะบวกกับกระบวนท่าและความเร็วคาคาชิ ทำให้การรุกและรับของทั้งเหนือกว่าศัตรู แต่ทว่า เนื่องจากเสียตาซ้ายไปคาคาชิจึงมีจุดบอดอยู่ทางด้านซ้ายของตนและไม่เห็นหินก้อนหนึ่งที่หล่นลงมา และในตอนนั้นขณะที่คาคาชิเสียท่ากำลังจะโดนหินทับ โอบิโตะกลับพุ่งเข้ามาผลักเพื่อนให้พ้นทางและกลายเป็นคนโดนหินก้อนนั้นทับแทน คาคาชิกับรินนั้นปลอดภัย ขณะที่โอบิโตะก็รู้ดีว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ เพราะร่างซีกขวาของตนถูกหินทับจนแหลกเหลวไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว จึงได้กล่าวกับคาคาชิว่าจะมอบของขวัญจากตนให้ เป็นเนตรวงแหวนที่เพิ่งเบิกสำเร็จ และขอร้องให้รินใช้วิชานินจาแพทย์เป็นคนผ่าตัดให้ตรงนั้นเลย คาคาชิยอมรับของขวัญนั้นในฐานะดวงตาที่จะมองไปข้างหน้าให้เขา แล้วกลับไปสู้ตายกับนินจาอิวะที่เหลือ ซึ่งผลจากการต่อสู้ดังกล่าวทำให้ดาบสั้นของเขาหักออกเป็นสองท่อน และก็เป็นเวลาเดียวกับที่คาคาชิได้ใช้ พันปักษา ท่าไม้ตายที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ เขาเอาชนะนินจาอิวะคนนั้นได้ แต่ในเวลาไม่นานกำลังหนุนของศัตรูก็เข้ามาประชิดตัวพวกเขา แต่ก็นับเป็นโชคดีที่มีดสั้นซึ่งคาคาชิได้รับเป็นของขวัญมาจากรุ่นที่สี่นั้นเป็นสื่อที่ทำให้รุ่นที่สี่ได้ใช้คาถานินจาข้ามมิติเวลามาหาพวกเขาได้ทันเวลา คาคาชิวูบไปเพราะความเหนื่อยล้าจากการใช้พันปักษา และเมื่อตื่นขึ้นมาศัตรูก็หายไปหมดแล้ว ขณะที่รุ่นที่สี่อยู่ข้างกายเขา และรินยืนแหงนหน้ามองฟ้าอยู่ไกลออกไป การสูญเสียโอบิโตะทำให้คาคาชิไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนก่อน และเริ่มมาสาย ซึ่งความจริงก็คือ เขามักจะไปเยี่ยมหลุมศพของโอบิโตะทุกวันเลยทำให้สาย นอกจากนี้การตายของเพื่อนยังทำให้คาคาชิไม่มีความคิดว่าภารกิจเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับแรกอีกแล้ว



วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554